EP.5 Nice To Meet You. ซินเดอเรนล่าโจร ภาพรอบๆเริ่มมืดขึ้นทุกทีๆโมบิลสูททหารของA.Dและสหพันธ์กรูกันเข้ามาล็อคตัวเข้าไว้และเริ่มทุบหมัดเข้ามาดูแรนดัลพยายามฝืนตัวออกจากวงล้อม แต่กลับไม่เหลือเรี่ยวแรงเลย เปรี้ยง!!!!... เปรี้ยง!!!... เปรี้ยง!!!... บรึม!!!! โมบิลสูทที่ล้อมดูแรนดัลอยู่ถูกยิงจนแหลกไปด้วยกระสุนจากโมบิลสูทบางเครื่องฟูจิวาระและจินยองหันไปหาที่มาของกระสุนที่คุ้นตานั่นอย่างสยดสยองและเรียกชื่อของชายผู้มาพร้อมกับกันดั้มสีแดงโลหิตร่างใหญ่นั่น “รูฟัส...!!!” “เวรแล้วไง...” “อะไรกัน?เจ้านั่น เมื่อกี๊นี้มันยิงจากตรงนั้นเนี่ยนะ!?” รีเบลเลียนยกพลาสม่าแม็คนั่มขึ้นอีกครั้ง และสาดยิงใส่โมบิลสูทกันดั้มทั้งสามเครื่องจินยองที่ไวอยู่แล้วจึงหลบได้ง่ายๆ แต่สติคม่า และเมเทโอที่ความเร็วลดหลั่นลงมาจึงหวุดหวิดไปหน่อยแม้จะพลาดสามเครื่องหลักไปแต่รูฟัสก็ยังคงยิงโมบิลสูทของศัตรูจนร่วงไปในทุกๆครั้งที่เหนี่ยวไกทันทีที่เข้ามาใกล้ รีเบลเลียนก็เก็บปืนไว้หลังโล่และชักดาบแสงออกมาแทน ราสรู้ว่าหนียังไงก็ไม่พ้นจึงเลือกที่จะสู้ตรงๆดีกว่า แต่หารู้ไม่ นั่นมันผิดยิงกว่าราสกะจะปะทะดาบกับรีเบลเลียน แต่ทันทีที่ดาบธนูฟาดลงมาดาบของรีเบลเลียนกลับตัดแขนของสติคม่าไปอย่างน่าพิศวงเจนิเอลและคนบนดคลอสซัสถึงกับตะลึง ไม่มีใครมองทันดาบเมื่อกี๊ ทันทีที่สะบั้นแขนขาดไปแล้วรีเบลเลียนก็ถีบเข้าที่หลังของสติคม่าและหันไปเล่นงานเมเทโอแทนซึ่งฟูจิวาระก็รออยู่แล้ว เมเทโอบุลเล็ตฟาดดาบทั้งสองเล่มใส่รีเบลเลียนอย่างเดือดดาล ฟูจิวาระสบถถามอย่างโกรธแค้น “แก!!! ทำบ้าอะไรกับอิสะกะ รูฟัส!!!” “...ฮึ” ฟูจิวาระออกแรงผลักดาบทั้งสองเล่มออก รีเบลเลียนตีลังกาหลบคมดาบของเมเทโอและพุ่งกลับมากระหน่ำฟาดดาบใส่อย่างรุนแรง อีจิสฟาดลงมาสุดแรงโดยฟูจิวาระมีเพียงดาบทั้งสองเล่มที่กันไว้เท่านั้น “ฟูล บลาสต์...” “!!!!???” เพล้ง!!!! รูฟัสเร่งพลังงานของฟูลบลาสต์ออกมาในขณะที่ฟาดดาบลงมา แรงจากพลังงานมหาศาลบดขยี้ดาบทั้งสองเล่มของเมเทโอจนแหลกละเอียด “บ้า!!!เอ๊ย!!!” “โง่น่า...” พลั่ก!!! กำปั้นของกันดั้มรีเบลเลียนตะบันเข้าที่หน้าของเมเทโอเต็มแรงจินยองที่พุ่งเข้ามากะโจมตีระยะประชิดกลับโดนความเร็วที่เสมอกันดีดออกมา กึง!!! “อ...อะไรน่ะ?” ทันทีที่หยุดการเคลื่อนใหวโมบิลสูทตาเดียวสีดำน้ำเงินก็หยุดอยู่ข้างๆรีเบลเลียน ตัวเครื่องน้ำเงินครามกับดวงตาม่วงอำไพ เขาเดียวยาวและคมกว่าแซ็ค และรูปร่างผอมเปรียวมีเพียงเกราะที่ใหล่สองข้างที่ดูน่าเกรงขาม ประกายแสงจากฟูลบลาสต์บ่งบอกว่านั่นคือโมบิลสูทเฉพาะ “หนึ่งในบาปเจ็ดประการ...รัซทีมรบใหม่ที่ทรงพลังของเรา” “โย่ะ... เครื่องเฉพาะของชั้นเจ๋งดีมั๊ยล่ะ?” เสียงที่ฟังดูเรียบๆสบายๆเป็นเอกลักษณ์ฟูจิวาระเริ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยากให้เป็นแค่หูฝาดซะจริง คนที่ขับรัซนั่น... “รัส...” “ริอัสตี้ ลอเรียส...?” “โย่ะ ไม่เจอกันนานพอดูเลยเนอะ(‘ ‘)” “บอกว่าเป็นทีม...หมายความว่ามีอีกงั้นสิ...” “อื้ม อีกหกคน- -+” ตลกร้ายสิ้นดี...ถ้าลองรัสยังใช้ฟูล บลาสต์ เครื่องอื่นๆที่เหลือ ก็คงไม่ต่างกันมากแล้วถ้ามากันหมด จะสู้ยังไง? --ไม่ใหว ฟูจิวาระ... จับสัญญาณเฉพาะของฟูลบลาสต์ได้อีกหกจุดอย่างมันว่าจริงๆ— “แล้วจะทำยังไงล่ะ? มีแผนมั๊ย?” --หนี วิ่ง ชิ่ง เอาอันใหน?-- “ตลกซะจริง= =**” “เอางี้มั๊ย?(‘ ‘)” จู่ๆรัสก็เหมือนจะมีข้อเสนอมาให้ฟูจิวาระหันไปหาและลองรับฟัง “ถ้าไงเราเลิกแค่นี้ล่ะเนอะนายหันหลังและกลับไป ชั้นก็หันหลังและกลับไป นายว่าไงชั้นก็ขี้เกียจสู้กับพวกเก่งๆอ่ะ เมื่อยใช่เรื่อง-*-...” “ชั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อสู้เล่นๆชั้นมาพาคนของเรากลับ...” “นายจะทำยังไง ฟูจิวาระ ยิงชั้น? ถึงทำได้ก็ยังมีพวกเราอีกหลายเครื่อง แถมยังมีรูฟัสตรงนี้ ชั้นว่า ที่นายมาตอนนี้ก็แค่ผิดเวลา ถ้าได้โอกาส นายควรไปวางแผนใหม่ดีกว่าเอาชีวิตมาทิ้งนะ” “รัส...” “อย่าบังคับให้ชั้นยิงแกเลย... แกยังมีอะไรที่ยังทำได้” “........” ....... ปุ้ง!!! ปุ้ง!!! ปุ้ง!!! สัญญาณพลุถอยทัพพุ่งออกมาจากยานของทั้งสองฝ่ายฟูจิวาระและราสเงยหน้าไปมองยานของตนเอง เจนิเอลเองก็เห็นว่าการรดันทุรังสู้ไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาด กำลังทัพกว่าหนึ่งในห้าหายไปเพราะการรบและดูแรนดัลออสนิกส์เองก็ไม่ต่างกัน การดันทุรังสู้ อาจจะพาคนทั้งยานไปตายก็ได้ --ขอโทษนะ...ฟูจิวาระ... ภารกิจล้มเหลวครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะพวกแกแต่จริงอย่างที่รัสว่า ครั้งนี้ เราควรถอย— “...... ทราบแล้ว...” “...ครั้งหน้าต้องช่วยแกให้ได้... อิสะกะ” --ราส...กลับยาน เราจะถอย...-- “ชิ!!!” ด้วยข้อเสนอที่รัสยื่นให้แม้จะทำให้รูฟัสปวดหัวไม่น้อย แต่พอเจอสีหน้าไม่สำนึกผิดของเพื่อนรักรูฟัสเองก็เอือมไม่อยากจะบ่นรัสขึ้นมา ช่างเถอะ อย่างมากเค้าก็แค่ส่งรายงานไปว่าข้าศึกถอยไปเองและตัดจบเหมือนทุกครั้งทันทีที่กองทัพศัตรูหายไปจนหมด รีเบลเลียนก็ลอยลงมายืนที่ซากเรือที่ดูแรนดัลนอนสลบอยู่ แม้จะทรงพลัง แต่ก็ยังไม่อาจนำมาใช้ได้เต็มที่ แม้จะบกพร่องแต่พลังที่แท้จริงเป็นยังไง เค้านั้นเคยสัมผัส เล้วเรื่องอะไรจะปล่อยให้ตายไปง่ายๆ เมล็ดของความมืดได้ฝังตัวแล้วรอเวลาเกิดต้นกล้าเท่านั้น ถ้าอยู่กับA.D อิสะกะคือหายนะ แต่พออยู่กับพวกเค้า หายนะก็จะคืนแก่A.Dบ้างล่ะ ท่าทางเอกสารระบุประเภทอาวุธของบาลันจะได้ผลกว่าที่คิดการยกเลิกสถานะความเป็นมนุษย์ของอิสะกะ และตีตราความเป็นชีวอาวุธให้เหมือนจะสร้างความเจ็บให้เค้าที่ไร้ความทรงจำและเปราะบางนั้นได้มากกว่าที่คิด แต่นั่นยังไม่พอต้องแหลกให้มากกว่านี้ ถ้าจะเป็นอาวุธที่สมบูรณ์แบบอิสะกะต้องไม่เหลือความเป็นคนมากกว่านี้ และเค้าจะทำมันเอง รูฟัสยกร่างดูแรนดัลขึ้นและพากลับเข้าราชอาณาจักร เผลอๆอิสะกะอาจจะขับโมบิลสูทเครื่องนั้นได้ก็ได้... ลาสต์เดย์ ถ้าหากว่าเพาะบ่มจนมีพลังมากพออิสะกะอาจจะได้ขับโมบิลสูทที่จะเป็นกุญแจสู่การทำลายล้างครั้งใหม่นั้นก็ได้... ...หลังจากสงครามสงบลงสำหรับดินแดนที่ไม่เคยประสบพบสงคราม แน่นอน สิ่งที่ตามมาคือความหวาดกลัวและหวาดระแวง ทั้งๆที่จริง สงครามกับราชอาณาจักรเกิดอยู่ตลอดแต่ก็ไม่เคยรุนแรงจนกลายเป็นเรื่องบานปลายขึ้นมา แต่เมื่อไม่นานที่ทัพใหญ่เข้ามาใช้พื้นที่สำหรับพักยุทโธปกรณ์สำหรับส่งไปให้ทัพหลักสงครามก็เกิดขึ้นมา กษัตริย์โฮลป์ครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา และได้แต่พะวงกับการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นแน่ หากสงครามยังคงรุกคืบเข้ามาไม่หยุด แม้ทหารจากทัพหลักจะออกไปจากดินแดนของเค้าแล้วแต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะไม่รู้ ว่าสหพันธ์โลกจะกลับมาโจมตีที่นี่อีกมั๊ยและเป้าหมายของA.Dที่ว่าจะมาพาคนของเค้าคืน ... คนของA.D... อิสะกะ... ในภาวะที่ล่อแหลมอย่างนี้การสูญเสียพลังของอิสะกะ เหมือนกับเห็นจุดจบของอาณาจักรนี้แค่เพียงทหารของราชอาณาจักรไม่อาจต่อกรกับสหพันธ์โลกที่มีกำลังรบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้เค้าต้องการพลังของอิสะกะ “...อิสะกะ เป็นยังไงบ้าง...?” หัวหน้าแพทย์ที่ยืนฟังอยู่ค้อมหัวเคารพก่อนจะตอบถึงเรื่องที่ไม่อยากตอบเท่าใหร่ให้กษัตริย์โฮลป์ได้ฟัง “ท่านอิสะกะ...ทันทีที่ฟื้นก็... ออกไปจากห้องทันที... พวกเรา ไม่กล้าห้ามไว้...” “...แค่เค้าปลอดภัย...ขอบใจเจ้ามาก” อย่างที่หัวหน้าแพทย์ว่าทันทีที่ฟื้น อิสะกะก็ลุกออกไปจากห้องพักฟื้น และออกไปโดยไม่พูดจากับใคร หมอโอเอดะรู้สำหรับเค้า มันต้องใช้เวลา แต่ว่า เวลาของอย่างไหนมันจะมาถึงก่อนล่ะ? เวลาที่เค้าจะรับและเปลี่ยนมันรึเวลาที่ความมืดจะหยั่งรากในตัวเค้าจนไม่อาจถอนตัวได้ ในอุทธยานที่ร่มรื่นเนินสูงที่ไม่มีอะไรบดบังสายตา ชายหนุ่มยืนมองดวงอาทิตย์ที่ลับลงขอบทะเลและสาดแสงสีส้มทองออกมาจนจ้าตาเพราะว่าเป็นของที่ว่างเปล่า เลยจะใส่อะไรเข้าไปก็ได้ สุดท้ายที่ทุกคนกระทำกับเค้า ก็ไม่ต่างกับการกระทำแบบสิ่งของ สร้อยข้อมือของอิสะกะยังคงสะท้อนความสวยงามของแสงอาทิตย์ยามเย็นอยู่ไม่สร่างแต่ความสวยงามในแวบแรกที่ได้รับมาจากเธอนั้นนั่นก็เป็นการกระทำกับสิ่งของด้วยรึเปล่า เสียงของเธอที่เค้าได้ยินมันเป็นเพราะอะไร ประสาทหลอน รึเป็นเธอที่พูดบอกเค้าจริงๆ ...ชั้นชื่อไอเนะ... ไอ • เนะ เรียกดูสิ ............. ไม่เข้าใจที่ชั้นพูดเหรอเนี่ย? งั้น พูดอะไรให้ฟังหน่อยสิ ภาษาของคุณน่ะ ............. อย่าเงียบอย่างเดียวสิ ชั้นทำตัวไม่ถูกนะT^T;; Can... you speak English?- -;;; อ่ะ พูดด้วยล่ะ! เอ...อืม where are you from? I’m from Thailand... ชั้นพูดภาษานี้ได้แฮะ^^
-----------------------------------------------------------------------------------------**Next part.
ยกโน๊ตบุ้คไปปั่นนิยายกันดั้มที่มหาลัย... เขียนได้12หน้า พอถึงเวลาเข้าเรียน ด้วยความซวยที่ถ่าโถมบวกกับเข้าสายอย่างสาหัส ลืมเซฟเเละกดปิดเครื่องไปเลยจ้า~!! นิยายข้าพเจ้า ล่อิงจุ๊นไปทั้ง12หน้าเลยทีเดียว เอ้าฮิ้ว~!!!
ก๊าซ~!!!!=[]=***
|